วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

มารู้เรื่องของกุ้งกัน ><

กุ้งจัดให้อยู่ในประเภท คลาส มาลาคอสตราคา (Class Malacostraca) คลาสนี้จัดเป็นคลาสที่ใหญ่ที่สุดในซับไฟลัม สมาชิกที่สำคัญได้แก่ กุ้ง (shrimp) กุ้งใหญ่ (lobster) กุ้งน้ำจืด (crayfish) และปู (crab) จัดอยู่ในออเดอร์เดคพอดา (decapoda) ซึ่งหมายถึงสัตว์ที่มีขา 5 คู่ รวมทั้งขาคู่แรกที่เปลี่ยนเป็นก้ามหนีบขนาดใหญ่
โครงสร้างของลำตัว ร่างกายของกุ้งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยมีส่วนหัวรวมกับส่วนอกเรียกเซฟาโลทอแรกซ์ (cephalothorax) มีจำนวนปล้อง 13 ปล้อง และส่วนท้องมีจำนวนปล้อง 6 ปล้อง ระยางค์ของลำตัวประกอบด้วย
                                 - ระยางค์ส่วนหัว มี 5 คู่ คือ หนวด 2 คู่ (antenna & antennule) ขากรรไกรล่าง (mandible) 1 คู่ มีลักษณะเป็นฟันบดแข็ง ขากรรไกรบน (maxilla) 2 คู่ ทำหน้าที่ช่วยจับอาหารเข้าปาก 
                                 - ระยางค์ส่วนอกมี 8 คู่ คือ ระยางค์ที่ใช้ในการกิน (maxilliped) ขนาดเล็ก 3 คู่ ขาเดิน 5 คู่ ขาเดินคู่แรกเปลี่ยนเป็นก้ามหนีบ (cheliped) ใช้จับเหยื่อ 
                                 - ระยางค์ส่วนท้อง มี 6 คู่ คือ ขาว่ายน้ำ (pleopod หรือ swimmeret) 5 คู่ ใช้ว่ายน้ำ คู่สุดท้ายเป็นแพนหาง (uropod)
การลอกคราบ (Ecdysis) ครัสตาเซียนเป็นสัตว์ที่มีโครงร่างแข็งภายนอก ดังนั้นจึงมีการเจริญโดยการลอกคราบ ในระยะตัวอ่อนจะมีการลอกคราบได้หลายครั้ง และจะน้อยลงในช่วงที่เป็นตัวเต็มวัย

ระบบกล้ามเนื้อ ผิวลำตัวชั้นนอกมีอีพิเดอร์มิส หุ้มด้วยชั้นของคิวติเคิล ใต้ชั้นอีพิเดอร์มิสเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวกัน และมีกล้ามเนื้อตามยาว ช่วยในการเคลื่อนไหว ประกอบด้วย 1. กล้ามเนื้อเฟลคเซอร์ (flexor muscle) มีอยู่ 2 คู่ เป็นมัดกล้ามเนื้อที่เรารับประทานช่วยในการดีดตัวของกุ้ง 2. กล้ามเนื้อเอคเทนเซอร์ (extensor muscle) มีอยู่ 2 คู่ เป็นมัดกล้ามเนื้อช่วยให้กุ้งเหยียดตัว

ระบบย่อยอาหาร มีระยางค์หลายคู่ช่วยในการจับเหยื่อให้เข้าสู่ปาก ผ่านคอหอยสั้น ๆ เข้าไปยังกระเพาะอาหารส่วนแรก (cardiac stomach) และกระเพาะอาหารส่วนหลัง (pyloric stomach) บริเวณด้านข้างมีรูเปิดของท่อน้ำย่อยจากตับ (digestive gland) เข้ามาช่วยย่อยและมีการดูดซึมในบริเวณนี้ด้วย จากนั้นกากอาหารจะถูกส่งออกตามลำไส้ไปยังทวารที่อยู่ส่วนท้ายของร่างกาย

ระบบหมุนเวียนโลหิตและระบบแลกเปลี่ยนก๊าซ หัวใจอยู่บริเวณด้านเหนือกระเพาะอาหารและอวัยวะสืบพันธุ์ อยู่ในช่องรอบหัวใจ (pericardial cavity) มีช่องเล็ก ๆ ให้เลือดในช่องนี้ไหลเข้าไปในหัวใจได้ เส้นเลือดที่สำคัญมีหลายเส้น และส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ที่สำคัญได้แก่
เส้นเลือด                                      จำนวน                                  หน้าที่การทำงาน 

opthalmic artery                           1 เส้น                                   ออกจากหัวใจด้านหน้าไปเลี้ยงส่วนหัวและกระเพาะอาหาร 
antennary aratery                         1 คู่                                     เป็นเส้นเลือดที่แยกแขนงออกจาก opthalmic aratery ไปเลี้ยงหนวด 
gastric artery                               1 คู่                                      เป็นเส้นเลือดที่แยกแขนงออกจาก opthalmic aratery ไปเลี้ยงกระเพาะ  
hepatic artery                              1 คู่                                      ออกจากหัวใจทางด้านล่างไปเลี้ยงตับ (digestive gland) 
dorsal abdominal artery                  1 เส้น                                   ออกจากหัวใจส่วนท้ายด้านล่าง แล้ววกขึ้นบนไปยังหาง  
stemal artery                               1 เส้น                                   แยกจากดอซัลแอบโดมินับ อาทอรี ลงสู่ด้านล่าง  
ventral artery                               1 เส้น                                  อยู่ทางด้านล่าง แล่นไปส่วนหัวเรียก ventral thoracic artery และแล่นไปส่วนท้อง 
                                                                                           เรียก  ventral abdominal aratery  
เลือดของกุ้งมีสีฟ้าอ่อน เพราะมีองค์ประกอบของฮีโมไซยานิน เมื่อเลือดไหลออกจากหัวใจไปยังเส้นเลือดต่าง ๆ แล้วไหลเข้ามารวมกันที่แอ่งพักเลือดด้านท้อง เลือดจะไหลเข้าสู่เส้นเลือดที่นำไปฟอกยังเหงือก ซึ่งมีอยู่ 8 คู่ ทางด้านข้างของส่วนอก โดยมีแผ่นเปลือกปิดไว้ แต่ละอันมีใยเหงือกเล็ก ๆ เป็นบริเวณที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเกิดการฟอกเลือดแล้ว เลือดจะไหลออกเพื่อไหลเข้าสู่ช่องรอบหัวใจแล้วเข้าหัวใจทางรูออสเตีย (ostia)


ระบบขับถ่ายของเสีย อวัยวะที่ใช้ในการขับถ่าย คือ ต่อมที่อยู่บริเวณโคนหนวดเรียกต่อมเขียว (green gland หรือ antennary gland) อยู่ภายในช่องที่มีของเหลวที่เป็นของเสียมารวมอยู่โดยการซึมแพร่เข้าไปในต่อมเขียว ซึ่งมีลักษณะเป็นถุงและส่งไปพักที่บริเวณกระเพาะพัก (bladder)เปิดออกนอกร่างกายที่โคนหนวดคู่ที่ 2


ระบบประสาท ประกอบด้วยสมอง เป็นปมประสาทขนาดใหญ่อยู่บริเวณส่วนหัว มีแขนงแยกไปเลี้ยงตา (optic nerve) และไปเลี้ยงหนวด (antennary nerve) จากปมประสาท สมองมีเส้นประสาทล้อมรอบหลอดอาหาร ลงมายังปมประสาทด้านล่าง รวมกันเป็นปมประสาททรวงอก (thoracic ganglion) ซึ่งมีปมประสาท 7 ปม จากนั้นจะทอดยาวเป็นปมประสาทส่วนท้อง (ventral nerve cord) และมีปมประสาทแยกออกไปยังกล้ามเนื้อและระยางค์ต่าง ๆ 
ระบบสืบพันธุ์ เป็นสัตว์แยกเพศ เพศผู้ประกอบด้วย เทสทิส เพศเมียมีรังไข่อยู่บริเวณด้านหลังของส่วนอก ท่อนำสเปิร์มจะมีรูเปิดออกที่ฐานของขาคู่ที่ 5 ท่อนำไข่จะเปิดออกที่ฐานของคู่ที่ 3 และมีถุงรับสเปิร์มอยู่ระหว่างขาคู่ที่ 4 และขาคู่ที่ 5 ไข่ที่ผสมแล้วจะถูกอุ้มไว้โดยระยางค์ของส่วนท้องจนกลายเป็นตัวอ่อน (nauplius) ซึ่งจะลอกคราบหลายครั้งจนได้ตัวเต็มวัย

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

การดูเพศกุ้งเคร์สาย p

รูปที่หนึ่งเป็น รูปของ "ตัวผู้" สายP. Clarkii โดยนายแบบของเราเป็น "น้องบลูสปอตตัวผู้" วิธีสังเกตุง่ายๆคือเค้าจะมีท่อเล็กๆยื่นออกมา แถวๆโคนขาคู่สุดท้าย ถ้ามีแบบนี้ก็ตัวผู้นะคร๊า
รูปต่อมาก็เป็น รูปของ "ตัวเมีย" สายP. Clarkii โดยนางแบบของเราเป็น "น้องบลูสปอตตัวเมีย"วิธีสังเกตุง่ายๆคือเค้าจะมีรูเล็กๆ ที่บริเวณโคนขาคู่ที่สาม(นับจากขาคู่สุดท้ายเข้าไป) ถ้ามีแบบนี้ก็ตัวเมียนะคร๊าบ

บทที่5 การดูเพศเคร

สำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงเคร อาจจะงุนงงและสับสน ไม่รู้ว่าจะดูเพศของน้องเครเค้ายังงัยดี มาเลยครับทู้นี้เราจะมาว่ากันถึงเรื่องการดูเพศน้องเครแบบง่ายๆกัน :dontworrie02:

รูปแรกเป็น รูปของ "ตัวผู้" สายCherax โดยนายแบบของเราเป็น "น้องบลูตัวผู้" วิธีสังเกตุง่ายๆคือเค้าจะมีตุ่มเล็กๆยื่นออกมา จากโคนขาคู่สุดท้าย ถ้ามีแบบนี้ก็ตัวผู้นะคร๊าบ :smile02:
ป.ล. รูปดัดแปลงจาก www.bluecrayfish.com
รูปที่สองก็เป็น รูปของ "ตัวเมีย" สายCherax โดยนางแบบของเราเป็น "น้องบลูตัวเมีย" วิธีสังเกตุง่ายๆคือเค้าจะมีรูเล็กๆ ที่บริเวณโคนขาคู่ที่สาม
(นับจากขาคู่สุดท้ายเข้าไป) ถ้ามีแบบนี้ก็ตัวเมียนะคร๊าบ

บทที่4 การเลือกซื้อเคร

สำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงเครนะครับ ส่วนใหญ่จะสับสน ว่าควรจะเลือกซื้อเครยังงัย ถึงจะได้น้องเครที่แข็งแรง และอยู่กับเราไปนานๆ มาครับมาดูกันเลยว่าเราจะต้องดูอะไรบ้าง ในการเลือกซื้อเคร

ร้านค้า อันนี้ดูเหมือนจะตลกนะครับ แต่นี่คือเรื่องจริง ที่ให้ดูร้านค้า เพราะว่าเราจะได้เห็นวิธีการที่ร้านค้า เค้าเตรียมเครไว้เพื่อขาย บางร้านมีการจัดการที่ดี ทำให้น้องเครเค้าไม่เครียดอยู่กันสบายใจ บางร้านจัดการไม่ดี เราก็จะเห็นน้องเครนอนพะงาบๆ รอเวลาสิ้นลม

การตอบสนอง เครที่แข็งแรงจะมีการตอบสนองที่รวดเร็ว อย่างเช่นเวลาที่เราจะจับเค้า เค้าก็จะรีบชูก้ามขึ้นมาทันที เพื่อป้องกันตัวเอง นี่แหล่ะครับเครที่สมควรหมายตาไว้ ส่วนเครที่อ่อนแอก็จะไม่มีปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้น เครแบบนี้ไม่ควรซื้อกลับมาเด็ดขาด

ลักษณะกายภาพ ถ้าเป็นไปได้ควรจะเลือกเครที่อวัยวะครับ แต่ถ้าโดยรวมแล้ว เครคึกได้ใจแต่อวัยวะบางอย่างไม่ครบ เช่นหนวดกุด, ขาหาย, ก้ามหักฯ เราก็ซื้อมาได้นะ เพราะว่าเดี๋ยวตอนลอกคราบ เค้าก็จะงอกออกมาใหม่ครับ ยกเว้น "ตา" เพียงอย่างเดียวนะครับ ที่หลุดไปแล้วไม่สามารถงอกใหม่ได้ และควรจะเลือกซื้อเครที่ตาดำๆ ไม่ขุ่นมัวด้วยครับ

ขนาด เพราะว่าขนาดเป็นอีกจุดนึง ที่จะสามารถบอกถึงอายุของเครได้ เครตัวเล็กๆคือเครเด็กๆ พวกนี้เค้าจะลอกคราบได้บ่อย และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆได้ง่าย และเราสามารถเอาเค้ามาฝึกในเรื่องการกินได้ครับ ในขณะที่เครตัวโตๆนั่นคือเครที่มีอายุมากแล้ว พวกนี้ถ้าซื้อมาแล้วมันมีความเสี่ยงเยอะ เช่นการไม่ยอมปรับตัว การไม่ยอมกินอาหาร

แหล่งที่มา เพราะว่าตอนนี้ในบ้านเรา มีผู้ที่สามารถเพาะลูกกุ้งได้หลายสายพันธุ์แล้ว ลูกกุ้งพวกนี้จะแข็งแรงกว่ากุ้งที่นำเข้า ลูกกุ้งที่เกิดในนี้เค้าจะปรับตัว ให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศได้ดีกว่า

ราคา ก่อนซื้อลองเดินๆเช็คราคาก่อนนะครับ เพราะว่าแต่ละร้านราคาจะต่างกันมาก ไม่เช็คให้ดีก่อนเดี๋ยวจะมาเสียใจเอาทีหลัง

ลองพิจารณาตามนี้ก่อนนะครับ ไว้เดี๋ยวนึกอะไรออกแล้วจะมาเพิ่มเติมให้อีกครับ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

โครงงาน

















โครงงานห้อง




    โครงงานเรื่อง MANGROVE FOOD

              จัดทำโดย

     นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1


         กลุ่มสาระสังคมศึกษา
 
                 บทที่  1
 บทนำ
ที่มาและความสำคัญ
                        เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ประชากรในประเทศไทยมีการทะเลาะวิวาทและแตกความสามัคคีกันมากขึ้น  นักการเมืองก็โกงกินประเทศชาติมากขึ้น ทั้งมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันมากขึ้นเรื่อยๆ  ตั้งแต่พวกนักการเมือง พนักงานราชการ แม่ค้า ครู อาจารย์ นักเรียน กรรมกรแบกหาม และประชากรในประเทศไทย  ทั้งๆที่ประเทศไทย  ขึ้นชื่อว่าเป็น “ สยามเมืองยิ้ม ”  แต่ประชากรในประเทศเริ่มจะห่างเหินจากคำว่า “ สยามเมืองยิ้ม ”  เรื่อย ๆ  พวกเราจึงอยากที่จะให้ประเทศไทยกลับมาเป็นประเทศที่สงบ และเป็นประเทศที่น่าอยู่ คนไทยก็ยิ้มแย้ม มีความสามัคคีเป็นที่หนึ่ง พวกเราจึงเริ่มที่จะสร้างความสามัคคีด้วยการเริ่มต้นจากเด็กในห้องเรียนจัดทำโครงงานนี้ขึ้นมา
วัตถุประสงค์
1.เพื่อที่จะสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
2.เพื่อที่จะให้เพื่อนๆในห้องได้มาทำงานร่วมกัน จะได้มีความผูกผันกันมากขึ้น
3.เพื่อที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ของเพื่อนในห้อง
                       บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ความสามัคคี
                 ความสามัคคี หมายถึง ความพร้อมเพรียงกัน ความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง วิวาทบาดหมางกัน
ความสามัคคี มีด้วยกัน ประการ คือ 1.ความสามัคคีทางกาย ได้แก่ การร่วมแรงร่วมใจกันในการทำงาน 2.ความสามัคคีทางใจ ได้แก่ การร่วมประชุมปรึกษาหารือกันในเมื่อเกิดปัญหาขึ้น
ความสามัคคีดังที่ว่านี้ จะเกิดมีขึ้นได้ ต้องอาศัยเหตุที่เรียกกันว่า สาราณียธรรม ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน กระทำซึ่งความเคารพระหว่างกัน อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยดี มีความสุข ความสงบ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ทำร้ายทำลายกัน มี ประการ คือ 
1.ทำต่อกันด้วยเมตตา คือ แสดงไมตรีและความหวังดีต่อเพื่อนร่วมงาน ร่วมกิจการ ร่วมชุมชน ด้วยการช่วยเหลือธุระต่างๆ โดยเต็มใจ แสดงอาการกิริยาสุภาพ เคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
2.พูดต่อกันด้วยเมตตา คือ ช่วยบอกสิ่งที่เป็นประโยชน์ สั่งสอนหรือแนะนำตักเตือนกันด้วยความหวังดี กล่าววาจาสุภาพ แสดงความเคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
3.คิดต่อกันด้วยเมตตา คือ ตั้งจิตปรารถนาดี คิดทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน มองกันในแง่ดี มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน
4.ได้มาแบ่งกันกินใช้ คือ แบ่งปันลาภผลที่ได้มาโดยชอบธรรม แม้เป็นของเล็กน้อย ก็แจกจ่ายให้ได้มีส่วนร่วมใช้สอยบริโภคทั่วกัน
5.ประพฤติให้ดีเหมือนเขา คือ มีความประพฤติสุจริต ดีงาม รักษาระเบียบวินัยของส่วนรวม ไม่ทำตนให้เป็นที่น่ารังเกียจ หรือทำความเสื่อมเสียแก่หมู่คณะ
6.ปรับความเห็นเข้ากันได้ คือ เคารพรับฟังความคิดเห็นกัน มีความเห็นชอบร่วมกัน ตกลงกันได้ในหลักการสำคัญ ยึดถืออุดมคติหลักแห่งความดีงาม หรือจุดหมายอันเดียวกัน
ธรรมทั้ง ประการนี้ เป็นคุณค่าก่อให้เกิดความระลึกถึง ความเคารพนับถือกันและกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์ยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน เพื่อป้องกันความทะเลาะ ความวิวาทแก่งแย่งกัน เพื่อความพร้อมเพรียงร่วมมือ ผนึกกำลังกัน เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

อานิสงส์ของความสามัคคีนี้ ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข ความเจริญ เป็นเหตุแห่งความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ การงานอันเกินกำลังที่คนๆ เดียวจะทำได้ เช่น การก่อสร้างบ้านเรือน ต้องอาศัยความสามัคคีเป็นที่ตั้ง แมลงปลวกสามารถสร้างจอมปลวกที่ใหญ่โตกว่าตัวหลายเท่าให้สำเร็จได้ ก็อาศัยความสามัคคีกัน เพราะฉะนั้น การรวมใจสามัคคีกันจึงเกิดมีพลัง ส่วนการแตกสามัคคีกันทำให้มีกำลังน้อย
โทษของการแตกสามัคคีกันนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า หาความสุข ความเจริญไม่ได้ ไม่มีความสำเร็จด้วยประการทั้งปวง เหตุให้แตกความสามัคคีกันนี้ อาจเกิดจากเหตุเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นได้ เหมือนเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียว แต่เป็นเหตุให้เกิดสงครามได้เหมือนกัน ดูตัวอย่างเรื่องพวกเจ้าลิจฉวีในเมืองไพศาลี แคว้นวัชชี มีความสามัคคีกัน พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทำอะไรไม่ได้ แต่พอถูกวัสสการพราหมณ์ยุยงให้แตกสามัคคีกันเท่านั้น ก็เป็นเหตุให้พระเจ้าอชาตศัตรู เข้าโจมตีและยึดเมืองเอาไว้ได้ในที่สุด
ดังนั้น ความสามัคคี ถ้าเกิดมีขึ้นในที่ใด ย่อมทำให้ที่นั้นมีแต่ความสงบสุข ความเจริญ ส่วนความแตกสามัคคี ถ้าเกิดมีโกงกางใบใหญ่ ชื่อสามัญ Red Mangrove, Asiatisk Mangrove,Loop-root Mangrove โกงกางใบใหญ่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhizophora mucronata Pole.Rhizophora mucronata Lam. จัดอยู่ในวงศ์โกงกาง (Rhizophoraceae) เช่นเดียวกันกับโกงกางใบเล็ก และเฉียงพร้านางแอ
โกงกางใบใหญ่ ยังมีชื่อเรียกตามท้องถิ่นอื่นๆ อีก เช่น กงเกง (นครปฐม)กงกางนอก โกงกางนอก (เพชรบุรี)กงกอน (เพชรบุรีชุมพร)ลาน (กระบี่)โกงกางใบใหญ่ (ภาคกลาง)กางเกง พังกา พังกาใบใหญ่ (ภาคใต้) เป็นต้น โดยสามารถขึ้นในที่ใด ย่อมทำให้ที่นั้นประสบแต่ความทุกข์ มีแต่ความเสื่อมเสียโดยประการเดียว
พบได้ตามชายฝั่งทะเลตะวันออกของแอฟริกา ทวีปเอเชีย ภูมิภาคมาเลเซีย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ในหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ไปจนถึงหมู่เกาตองกาสำหรับในประเทศไทยจะพบต้นโกงกางใบใหญ่ได้มากตามริมคลอง ริมชายฝั่งทะเลที่มีน้ำเค็มท่วมถึงเป็นระยะเวลานาน โดยจะชอบขึ้นในบริเวณที่เป็นดินเลนปนทราย และมักจะขึ้นอยู่ในบริเวณที่ชิดติดกับแม่น้ำ
ลักษณะของโกงกางใบใหญ่
ต้นโกงกางใบใหญ่ จะเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 20-30เมตร (บ้างก็ว่าสูงประมาณ 30-40 เมตร) มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเหนือคอ ราก เมื่อโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง ด้านรับแสงจะมีกิ่งก้านมาก เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลเทา เปลือกต้นค่อนข้างเรียบ หรือแตกเป็นร่องตื้นๆ ส่วนเปลือกในเป็นสีส้ม ในกระพี้เป็นสีเหลืองอ่อน และแก่นเป็นสีน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้ฝักโดยตรง โดยใช้ฝักแก่ที่ยังสมบูรณ์ไม่มีโรคและแมลงเข้ามาทำลาย โดยดูได้จากบริเวณรอยต่อของฝักกับผลจะมีปลอกสีขาวอมเหลืองหุ้มอยู่ ถ้าหากมีขนาดยาวประมาณ เซนติเมตร และเป็นสีเหลืองแสดงว่าฝักแก่สมบูรณ์แล้ว หรือจะเก็บฝักที่ร่วงหล่นลงน้ำก็ได้ เพราะถ้าฝักแก่สมบูรณ์จะลอยน้ำได้ เมื่อได้ฝักมาแล้วก็ให้นำมาปลูกในทันที เพราะถ้าเก็บไว้นานเท่าไหร่ความสามารถในการงอกก็จะลดลงไปเรื่อยๆ
สรรพคุณของโกงกาง
ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใช้เปลือกต้มกับน้ำดื่ม)[1]
ช่วยแก้อาการท้องร่วง โดยใช้เปลือกนำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือจะใช้น้ำจากเปลือกนำมากินแก้อาการก็ได้เช่นกัน
ช่วยแก้บิด บิดเรื้อรัง โดยใช้เปลือกนำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือจะใช้น้ำจากเปลือกนำมากินแก้อาการก็ได้เช่นกัน
เปลือกใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาสมาน (เปลือก)
ใช้เปลือกตำแล้วนำมาพอกช่วยห้ามเลือดได้ดี หรือจะใช้ใบอ่อนเคี้ยวหรือตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบาดแผลสดและห้ามเลือดก็ได้เช่นกัน (ใบ,เปลือก)บ้างก็ว่าน้ำจากเปลือกก็ใช้ชะล้าแผลและห้ามเลือดได้เช่นกัน (น้ำจากเปลือก) เปลือกนำมาต้มกับน้ำใช้ชะล้างรักษาบาดแผลเรื้อรัง หรือจะใช้น้ำจากเปลือกก็ได้ (เปลือก,น้ำจากเปลือก)
ประโยชน์ต้นโกงกาง
ไม้โกงกาง มีลักษณะเปลาตรง เป็นไม้ที่มีคุณสมบัติแข็งแรง เหนียว ทนทาน จึงเหมาะสำหรับการนำมาแปรรูปทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ใช้ในงานก่อสร้าง เช่น ทำกลอนหลังคาจาก รอด ตง อกไก่ของบ้าน หรือใช้ทำไม้เสาเข็ม ไม้ค้ำยันต่างๆ ทำเสาและหลักในที่มีน้ำทะเลขึ้นถึง ทำเยื่อกระดาษ
ประโยชน์ไม้โกงกางที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการนำมาใช้ทำเป็นฟืนและถ่านเกรดคุณภาพดี ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากเป็นไม้ที่ให้ความร้อนสูงและนาน (ให้ค่าความร้อนประมาณ 6,600-7,200 แคลอรี) อีกทั้งยังมีขี้เถ้าน้อยและไม่เกิดสะเก็ดไฟเมื่อนำมาใช้งานอีกด้วย
เปลือกของต้นโกงกางมีสารแทนนินและฟีนอลจากธรรมชาติสูงมาก อีกทั้งยังมีราคาถูกที่สุด ซึ่งสารดังกล่าวสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ทำยา ทำหมึก ทำสี ใช้ในการฟอกหนัง ใช้ทำกาวสำหรับติดไม้ เป็นต้น
เปลือกมีน้ำฝาดประเภท Catechol ให้สีน้ำตาลที่สามารถนำมาย้อมสีผ้าได้ เช่น ใช้ย้อมผ้า แห อวน หนัง ฯลฯ
ป่าโกงกางมีความสำคัญอย่างมากสำหรับสัตว์ทะเลต่างๆ เนื่องจากเป็นที่วางไข่และฟักตัวอ่อน และเป็นแล่งที่มีสภาพสมดุลทางธรรมชาติสูงมาก
ป่าไม้โกงกาง สามารถช่วยป้องกันรักษาชายฝั่งทะเลจากการกัดเซาะของกระแสน้ำได้ และยังใช้เป็นแนวกำบังคลื่นลมที่เคลื่อนเข้ามาปะทะชายฝั่งได้เป็นอย่างดี
                   บทที่ 3
วิธีการดำเนินงาน
วิธีการดำเนินการศึกษา
1. คณะผู้จัดทำจัดประชุมเพื่อปรึกษาและวางแผนแล้วนำเค้าโครงของโครงงาน (ตัวอย่างบทคัดย่อ) เสนอครูที่ปรึกษา  เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม
2.คณะผู้จัดทำได้ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
3.คณะผู้จัดทำได้ประชุมเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้  แล้วจัดสรรข้อมูล  เพื่อเรียงลำดับความสำคัญ  จำแนก และวิเคราะห์ผลการศึกษา
4.คณะผู้จัดทำจึงจัดพิมพ์รูปเล่มโครงงานและสื่อต่างๆ  เพื่อนำเสนอครูที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง
5.คณะผู้จัดทำนำเสนอผลการศึกษาโครงงานต่อผู้ชม  เพื่อให้ผู้ชมสอบถามและตอบข้อซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ชม 
การจัดเตรียมวัตถุดิบและวิธีการทำใบโกงกางทอด
วัตถุดิบในการทำใบโกงกางทอด
1. ใบโกงกาง(ใบใหญ่)
 2. น้ำเปล่า
 3. กุ้งสับหรือหมูสับ ปูอัด
4. น้ำมันพืช
 5. แป้งประกอบอาหาร (โกกิ)
 6. น้ำจิ่มไก่
 7. ผงปรุงรสสำเร็จรูป (บาร์บีก้า บาร์บีคิว)
อุปกรณ์ในการทำใบโกงกางทอด
1.กาละมัง
 2. ตะแกง
 3. มีด
 4. กระทะ
 5. หม้อ
 6. ทัพพี
 7. กรรไกร
 8. ตะหลิว
 9. เตาแก๊ส
 10. จาน
 11. เขียง
 12. ถาด
 13. ช้อน ส้อม
 14. ถ้วยโฟม ชามโฟม
 15. หมวก ถุงมือ ผ้ากันเปื้อน
วิธีการทำใบโกงกางทอด
1.เลือกเอาใบโกงกางใบใหญ่ที่ไม่อ่อน และไม่แก่จนเกินไป หรือใบที่ นับจากยอด
 2.นำมาล้างน้ำแล้วผึ่งให้แห้ง หั่นใบโกงกางออกเป็นสามส่วน
3.นำกุ้งสับ หมูสับ หรือเนื้อสัตว์ที่เตรียมไว้ มาทาลงบนใบโกงกางแล้วนำไปชุบแป้ง
4.นำมาทอดในน้ำมันด้วยไฟอ่อนๆ พอเหลืองได้ที่ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
5.ถ้าต้องการรสเพิ่มเติมให้ปรุงรสด้วยผงปรุงรสสำเร็จรูป

                    บทที่ 4
ผลการดำเนินงาน
        จากการทำโครงงานเรื่อง โครงงานเรื่อง MANGROVE FOOD หรือ ใบโกงกางทอด ทำให้พวกเราได้ฝึกการทำงานเป็นทีมรู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยพวกเราได้จัดทำใบโกงกางทอด ระยะเวลาที่จัดทำโครงงานเป็นระยะเวลา 30 วัน โดยสามารถทำอาหารจากใบโกงกางได้จริง และสามารถขายได้
                  บทที่ 5
สรุปผลการศึกษา
สรุปผลการศึกษา
              การศึกษาการทำใบโกงกางทอด ถือเป็นการนำวัตถุดิบจากธรรมชาติ นำมาปรุงแต่งเพื่อประกอบอาหารคาว หวานได้ตามต้องการ และเป็นวัตถุดิบใกล้ตัวมาประยุกต์ใช้ ส่งเสริมการพัฒนากลุ่มอาชีพให้กับคนในท้องถิ่น
ประโยชน์จากโครงงาน
1.             ได้ศึกษาการทำใบโกงกาง
2.             ได้รับความรู้จากการศึกษาวิจัยการทำใบโกงกางทอด
3.             ได้รู้จักคุณประโยชน์-และโทษของใบโกงกาง
4.             ได้รูจักการแปรรูปใบโกงกาง
5.             ได้ส่งเสริมวัตถุดิบใกล้ตัว ทำให้เกิดอาชีพได้
ข้อเสนอแนะ

        จากการศึกษาโครงงานเรื่อง ใบโกงกางทอด ได้รู้จักการทำใบโกงกางมาแปรรูปเป็นอาหารและช่วยส่งเสริมอาชีพของคนในท้องถิ่นได้

บทที่3 อาหาร

               บทที่3 อาหาร
มือใหม่หัดเลี้ยงหลายๆคน คงจะสงสัยกันใช่มั๊ยครับ ว่าเครเค้ากินอะไรกัน ซื้อมาแล้วเนี่ยเราจะต้องให้เค้ากินอะไร ถามที่ร้านร้านก็บอกให้อาหารปลาก็ได้ อืมห์!ร้านก็ไม่ได้มั่วหรอกนะ เพียงแต่ว่าอาหารปลาอ่ะ มันมีตั้งหลายแบบทั้งแบบเม็ดใหญ่ เม็ดเล็ก แบบลอย แบบจม แล้วทีนี้เราจะต้องให้ตัวไหนอ่ะ งง งง มาเลยครับมาดูกันว่าเราให้อะไรน้องเครเค้ากินได้บ้าง

อาหารกุ้ง เดี๋ยวนี้สบายเลยครับ มีอาหารกุ้งออกมาขายมากมายหลายแบบ ทั้งแบบบรรุจุถุงเล็ก แบบครึ่งกิโลฯ. แบบกระปุก แต่ทั้งหมดก็เป็นอาหารแบบเดียวกับที่เค้าใช้เลี้ยงกุ้งกุลาอ่ะนะ อาหารพวกนี้ต้องให้น้อยๆครับ เพราะว่าถ้าตกค้างแล้ว จะทำให้น้ำเสียเร็วมาก

อาหารปลาแบบจม จริงๆแล้วพวกนี้เป็นอาหารปลาที่หากินตามพื้น อย่างพวกปลาแพะ ปลาซัคเกอร์ ปลาดุก เราก็เอามาช่วยเสริมให้เครกินได้เหมือนกันนะ

หนอนแดงแช่แข็ง ถ้าที่บ้านเราเลี้ยงปลาอยู่ด้วยแล้ว อาหารตัวนี้ก็ดีครับ แบ่งเอามานิดหน่อยให้เค้ากิน จะได้ช่วยเสริมเรื่องอาหารสด ที่สำคัญคือหนอนแดงแช่แข็งจะสะอาด เครกินแล้วไม่มีโรคภัยที่แอบแฝงมาด้วย

หนอนนก เมนูนี้แนะนำมาโดยคุณMagoctodครับ พี่เค้าบอกว่าลองดูแล้วจะชอบ เหมาะสำหรับพวกซาดิส คอยนั่งดูเวลาที่เครจับหนอนนกฉีกเป็นสองท่อน หนอนนกเวลาให้ก็แค่หนอนหนึ่งตัวต่อเครหนึ่งตัวก็พอแล้วนะครับ

ไส้เดือนน้ำ ตัวนี้ก็อย่าให้มากเพราะทำให้น้ำเสียเร็วเหมือนกัน ที่สำคัญมันชอบมุดลงไปอยู่ตามใต้กรวดอีกต่างหาก

ไรทะเล ตัวนี้นานๆให้ซักทีก็ได้ครับ ไม่ซีเรียส

เต้าหู้ไข่ จริงๆแล้วมันคือการดัดแปลง มาจากอาหารที่ใช้ในการเพาะลูกกุ้งนะครับ เพราะว่าต้นตำรับเค้าจะใช้ไข่ตุ๋นแต่ดูแล้วมันวุ่นวาย ไม่เหมือนเต้าหู้ไข่ ที่หาซื้อได้ง่ายกว่า แถมเค้านึ่งมาในระดับนึงแล้ง เราซื้อมาก็เอามาให้เครกินได้เลย ไม่ต้องไปทำอะไรให้ยุ่งยากอีก 

ผัก ก็ลองหาผักที่มีน้ำหนักหย่อนลงไปให้เครเค้ากินดูบ้างนะครับ หรือถ้ามันไม่จมก็อาจจะลวกนิดๆ ทีนี้ก็จะจมแล้วอ่ะนะ

ผลไม้ ลองดูครับผลไม้บางอย่างก็work บางอย่างก็ไม่ อย่างที่เคยลองแล้วน้องเครชอบใจกัน องุ่นเลยครับ

เมล็ดพืช อย่างเม็ดข้าวโพด ถั่วต่างๆแต่ต้องแช่ให้นิ่มๆก่อนนะ